วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Perfume น้ำหอมฝรั่งเศส-เคล็ดลับการใช้..


perfume


น้ำหอม (Perfume) คือ สารละลายหอมระเหยทำจากน้ำมันกับแอลกอฮอล์ มีกลิ่นที่สกัดมาจากดอกไม้ใ นธรรมชาติหรือกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นมาผสมอยู่ ใช้ทาหรือพ่นตามเสื้อผ้าหรือร่างกาย น้ำหอมจะระเหยออกมาพร้อมกับส่งกลิ่นหอมชวนดมออกมาด้วย มีหลายกลิ่น บางกลิ่นเกิดจากการนำกลิ่นดอกไม้หลายชนิดมาผสมกัน มีการผลิตบรรจุขวดขายหลายยี่ห้อ อาทิเช่น CK , DKNY , LACOSTE , Ralph Lauren ฯลฯ
7 เคล็ดลับเลือกใช้น้ำหอมในหน้าร้อนสาวหลายคนหลงใหลในกลิ่นน้ำหอมจนต้องฉีดทุกวัน บางคนถึงกับต้องหยิบขึ้นมาฉีดเติมระหว่างวัน รู้หรือไม่ว่าอุณหภูมิที่ร้อนจัดอย่างบ้านเราสามารถส่งผลให้กลิ่นหอมที่ใช้อยู่เปลี่ยนไปและอาจกลายเป็นกลิ่นไม่พึงปรารถนาได้ แล้วจะมีวิธีอย่างไรให้กลิ่นหอมไม่ผิดเพี้ยนและติดทนตรึงใจคนข้างกายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ดูเคล็ดลับต่อไปนี้กันได้เลย


1. ในหน้าร้อนควรเลือกใช้น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ ไม่ฉุนจนเกินไป สูดดมแล้วให้ความรู้สึกสดชื่น เย็นสบาย เช่น น้ำหอมที่มีส่วนผสมจาก orange blossom, pear, mint, ginseng และ ginger


2. หากคุณเป็นคนผิวมัน ความร้อนจากอุณหภูมิที่สูงจะยิ่งช่วยกระจ่ายกลิ่นน้ำหอมที่คุณใช้ให้แรงกว่าสภาพผิวอื่น ฉะนั้นในหน้าร้อนจึงควรยิ่งเลือกกลิ่นน้ำหอมที่อ่อนที่สุด เมื่อฉีดไปแล้วกลิ่นจะได้ไม่ฉุนเกินไป


3. หากเกรงว่ากลิ่นน้ำหอมที่ใช้อยู่จะแรงไป ให้หยดน้ำหอมใส่สำลีเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อแทน


4. ในกรณีที่ร้อนมากจนเหงื่ออกบนหนังศีรษะ แล้วรู้สึกไม่มั่นใจในกลิ่น สามารถเพิ่มความหอมให้เส้นผมได้ด้วยการใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกับกลิ่นที่ฉีดตัว ฉีดห่างเส้นผมประมาณ 1 ฟุต หรือฉีดลงบนแปรงหวีผมพอให้ละอองจับบนแปรง แล้วค่อยบรรจงหวีผม แต่หากคุณใช้วิธีนี้บ่อย ควรหมั่นทำทรีตเม้นท์ผมเป็นประจำด้วย เพราะแอลกอฮอล์ในน้ำหอมอาจทำให้ผมเสียได้


5. สำหรับคนที่มักมีเหงื่อออกบริเวณฝ่ามือ และอาจส่งกลิ่นไม่พึงปรารถนา ให้ฉีดน้ำหอมเบาๆบนฝ่ามือ เวลาจับมือใครจะได้หออมและชวนสัมผัส


6. ในกรณีที่ใช้น้ำหอมแบบแต้ม ควรใช้คอตต้อนบัดแตะน้ำหอมจากปากบวดแทนนิ้วมือ แล้วแต้มตามบริเวณจุดชีพจรต่างๆบนร่างกาย เพราะกลิ่นน้ำหอมในขวดจะเปลี่ยนได้หากได้รับความร้อนจากอุณหภูมิบนนิ้วมือเรา


7. ถ้าอยากหอมทั้งวัน แนะนำให้ใช้แชมพู เจลอาบน้ำ และโรลออนกลิ่นเดียวกับน้ำหอม จะช่วยให้ความหอมอยู่ได้นานยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการเติมกลิ่นหอมให้สัมภาระในกระเป๋า ทำได้โดยการเอาของที่อยากให้มีกลิ่นหอมมาใส่รวมในกล่องที่ปิดฝาได้ แล้วฉีดน้ำหอมใส่สำลีก้อน ใส่ลงไปในกล่องปิดฝา อบกลิ่นเอาไว้ วิธีนี้ใช้ได้กับเสื้อผ้าในตู้ด้วย ดีกว่าพรมน้ำหอมลงไปบนเสื้อซึ่งจะทำให้เกิดรอยต่างที่เสื้อได้เพียงเท่านี้คุณก็มีกลิ่นกายหอม ๆ ชวนหลงใหลรับร้อนนี้แล้วคะ
Perfume น้ำหอมฝรั่งเศส
ที่มาส่วนหนึ่งจาก : หนังสือแพรว

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ประวัติความเป็นมาของ วันวาเลนไทน์


ทุก ๆ ปีเมื่อถึงเดือนกุมภาพันธ์ ดอกกุหลาบสีแดง การ์ดอวยพร ของขวัญ และช็อกโกแลต จะถูกส่งอวยพรถึงกันและกัน ระหว่างคนที่มีความรักต่อกัน ไม่ใช่เพียงแต่คนหนุ่มสาว แต่ยังรวมถึงคนในครอบครัว หรือมิตรสหาย เพราะในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนับเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันแห่งความรัก หรือ วันวาเลนไทน์
ชื่อของ วาเลนไทน์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับ วันแห่งความรัก นี้ได้อย่างไร ? และทำไมเดือนกุมภาพันธ์ จึง เป็นเดือนแห่งความรัก ?
ประวัติดั้งเดิมของ วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็น วันแห่งความรัก เกี่ยวพันทั้งกับประเพณีของชาวคริสเตียน และประเพณีดั้งเดิมของชาวโรมัน ที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน ตามความรับรู้ของชาวคริสต์ วันวาเลนไทน์ มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนักบุญที่ชื่อ วาเลนไทน์ หรือ วาเลนตินัส อย่างน้อย 3 คน ซึ่งทุกคนเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ทั้งสิ้น
ตำนานหนึ่งเล่าว่า วาเลนไทน์ เป็นนักบวชที่มีชีวิตอยู่ในกรุงโรม ในช่วงศตวรรษที่ 3 ของปีคริสตศักราช ในช่วงที่จักรพรรดิ คลอดิอุส 2 ปกครองกรุงโรม พระองค์เห็นว่า ผู้ชายที่เป็นโสด จะทำหน้าที่ทหารได้ดีกว่าชายที่มีภรรยาและครอบครัว พระองค์จึงทรงออกกฎหมายห้ามมิให้ผู้ชายในวัยหนุ่มแต่งงาน เพื่อที่จะกะเกณฑ์ชายหนุ่มที่ยังไม่แต่งงานเหล่านี้มาเป็นทหาร นักบวช วาเลนไทน์ ไม่เห็นด้วยกับจักรพรรดิ คลอดิอุส และเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม จึงยังคงลักลอบทำพิธีแต่งงานให้กับคนหนุ่มสาวที่มีความรักต่อไป เมื่อการกระทำของ นักบวชวาเลนไทน์ ล่วงรู้ถึงหูของจักรพรรดิ คลอดิอุส พระองค์จึงสั่งให้จับกุมและให้ประหาร นักบวชวาเลนไทน์ เสีย
อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า นักบวชวาเลนไทน์ ถูกประหารเพราะพยายามที่จะช่วยเหลือชาวคริสเตียนให้หนีออกจากคุกของพวกโรมัน ซึ่งเวลานั้น ผู้ที่เป็นคริสเตียนจะมีความผิด ต้องถูกนำไปคุมขัง และทรมานด้วยการเฆี่ยนตี
ตำนานที่สามเล่ากันว่า นักบวช วาเลนไทน์ คือผู้ที่ส่ง บัตร “ วาเลนไทน์ ” เป็นคนแรก ในขณะที่นักบวช วาเลนไทน์ ถูกจำคุกอยู่นั้น เขาตกหลุมรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง นางเป็นลูกสาวของผู้คุมที่คุกแห่งนั้น ซึ่งนางเข้าไปเยี่ยมในระหว่างที่นักบวชผู้นี้กำลังนอนป่วย ก่อนที่จะถูกประหาร เขาได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงนาง และลงท้ายจดหมายว่า “ จาก วาเลนไทน์ ของเธอ ” ซึ่งเป็นวลีที่ยังใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าความจริงเกี่ยวกับนักบวช วาเลนไทน์ จะเป็นตำนานที่ค่อนข้างสับสน แต่ทุกตำนานก็เป็นเรื่องของความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์ ความกล้าหาญ และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของ ความรัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ในยุคกลางของยุโรป(ประมาณศตวรรษที่ 5 ถึงศตวรรษที่ 16 ของปีคริสตศักราช) นักบุญ วาเลนไทน์ จะเป็นหนึ่งในนักบุญที่ได้รับความศรัทธามากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษและฝรั่งเศส
ขณะที่บางคนเชื่อว่า วันวาเลนไทน์ คือวันรำลึกถึงการเสียชีวิต หรือวันทำพิธีฝังศพของนักบุญ วาเลนไทน์ ในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอาจจะเริ่มมาตั้งแต่ประมาณปีคริสตศักราช 270 ในบางความเชื่อกล่าวว่า พิธีแสดงความรักต่อนักบุญ วาเลนไทน์ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นประเพณีที่เพื่อแสดงความเป็น คริสเตียน ของนักบวชในศาสนาคริสต์ เพื่อที่จะมาทดแทนเทศกาล ลูเปอร์คาเลีย (Lupercalia) ของชาวโรมันในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่แสดงความรักต่อเทพเจ้าฟอนนัสของชาวโรมัน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งเกษตรกรรม และเทพเจ้ารอมมิวนัส และเทพเจ้าเรมัส เทพเจ้าผู้สร้างกรุงโรม
พิธีเริ่มต้นโดยพวกสมาชิกของ ลูเปอร์ซิ และนักบวชโรมัน ไปชุมนุมกันที่ถ้ำอันศักดิ์ของพวกเขา ซึ่งเป็นที่กำเนิดของเทพเจ้า รอมมิวนัส และ เรมัส ที่เชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างกรุงโรม และเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูและดื่มนมจากหมาป่า หรือ ลูปา พวกนักบวชโรมันจะทำการฆ่าแพะบูชายัญเพื่อความอุดมสมบูรณ์ และฆ่าสุนัขบูชายัญเพื่อความบริสุทธิ์
จากนั้นเด็กหนุ่ม ๆ จะทำการแล่หนังของแพะออกเป็นชิ้นยาว ๆ นำไปจุ่มในเลือดศักดิ์สิทธิ์ ถือไปตามถนน นำไปแตะที่ตัวผู้หญิง และถือไปตามท้องไร่ท้องนาต่าง ๆ ผู้หญิงโรมันจะเต็มใจให้นำเอาหนังแกะสดที่ชุ่มไปด้วยเลือดมาแตะตามตัว เพราะเชื่อว่าจะนำเอาความอุดมสมบูรณ์มาสู่กรุงโรม จากนั้นในรุ่งขึ้นอีกวัน หญิงสาวชาวเมืองจะพากันเอาชื่อของนางใส่ลงในหม้อขนาดใหญ่ เพื่อให้ชายโสดทั้งหลายมาเลือกชื่อพวกนางจากหม้อใบนี้ และก็เป็นคู่กันไปตลอดทั้งปี ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะลงเอยด้วยการแต่งงานกัน สันตะปาปา เกลาเซียส ได้ประกาศเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันนักบุญวาเลนไทน์ เมื่อประมาณปีคริสตศักราช 498 การเลือกคู่แบบโรมัน กลายเป็นสิ่งที่ “ ไม่ใช่คริสเตียน ” และผิดกฎ ต่อมาในสมัยยุคกลางของยุโรป ได้กลายเป็นความเชื่อของคนในอังกฤษและฝรั่งเศสว่า 14 กุมภาพันธ์ เป็นการเริ่มต้นฤดูผสมพันธุ์ของ “ นก ” แล้วก็กลายเป็น วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็น วันแห่งความรัก
เรื่องราวของ วาเลนไทน์ ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งยังมีหลักฐานหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน คือบทกวีที่เขียนโดย ชาร์ลส ขุนนาง แห่ง ออร์ลีนส์ ซึ่งเขียนให้กับภรรยาของเขาขณะถูกคุมขังในหอคอยกรุงลอนดอน เนื่องจากถูกจับกุมในระหว่างสงคราม อะจินคอร์ต บทกวีชิ้นนี้เขียนขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1415 ถูกเก็บไว้ในห้องสมุด บริติช แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และหลายปีต่อมา เชื่อกันว่า พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 ได้จ้างวานให้กวีที่ชื่อ จอห์น ไลด์เกต ประพันธ์บทกวี วาเลนไทน์ ให้กับ แคทเธอรีน แห่ง วาโลอิส ในอังกฤษ เทศกาล วันวาเลนไทน์ ได้รับความนิยม มาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 17 ของปีคริสตศักราช
คิวปิด หรือ กามเทพ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักของชาวโรมัน ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ อันหนึ่งของ วันวาเลนไทน์ เนื่องจาก คิวปิด เป็นบุตรของเทพธิดา วีนัส ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความรัก และความงามของชาวโรมัน และมักจะปรากฏอยู่บน บัตรอวยพร วันวาเลนไทน์ อยู่เสมอ
กลางศตวรรษที่ 18 เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับผู้ที่เป็นคนรักกัน หรือ แม้แต่มิตรสหาย ทุกชั้นชน ที่จะแลกเปลี่ยนของขวัญชิ้นเล็ก ๆ หรือส่งจดหมายถึงกัน
จนถึงยุคปัจจุบัน ก็ได้กลายเป็นการส่งบัตรอวยพร การซื้อของขวัญ และการมอบขนมและช็อกโกแลต ให้แก่กัน และจนถึงวันนี้การส่งอีเมล์ และ เอสเอ็มเอส เพื่ออวยพรเนื่องใน วันวาเลนไทน์ ก็อาจจะเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูงสุดอีกสื่อหนึ่ง
สถิติของยุโรปและอเมริกา พบว่า ประมาณร้อยละ 85 ของผู้ที่ใช้จ่ายเพื่อ วันวาเลนไทน์ จะเป็นสตรี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของ บัตรอวยพร ซึ่งก็ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นการอวยพรเฉพาะคู่รักเท่านั้น เพราะในวันวาเลนไทน์นี้จะสามารถแสดงออกความรักต่อใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน