วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

นิทานฝรั่งเศส

เรื่อง งูบิน

จากหนังสือ ตำนานทะเลสาบและแม่น้ำ โดย Bernard Clavel
แปลโดย ดร. สุภาภรณ์ อาภาวัชรุตม์


งูบินหรือ ใช่ซิเด็กน้อย มันเป็นงูนะ เมื่อฉันบอกว่างูก็อย่าได้จินตนาการเป็นอะไรที่คล้ายงูเห่าหรืองูจงอางเลย ไม่ใช่หรอกเริ่มเลยก็แล้วกันว่ามันตัวโตมากกว่านั้นมาก โตกว่างูเห่าและโตกว่าคนด้วย ฉันไม่รู้แน่ว่าขนาดมันสักเท่าใด แต่อย่างน้อยตัวมันก็ยาวครึ่งห้องครัวแหละ มันยังยืนอยู่บนหางของมันได้ด้วย แถมยังมีปีกสีดำเหมือนปีกค้างคาว แต่ใหญ่กว่านั้นร้อยเท่า


หนูเคยเห็นภาพของสัตว์พันธุ์ผสมหรือไม่ นั่นแหละผิวหนังบนลำตัวของงูบินยังกับใส่เสื้อเกราะซึ่งร้อยด้วยห่องเหล้กและเมื่อมันโกรธเกรี้ยว ห่วงตาข่ายจะเริ่มปลิวคล้ายระลอกคลื่นและส่องประกายไฟออกมา ปากของมันก็เช่นเดียวกัน อาจจะพ่นเปลวไฟออกไปไกลหลายเมตร ลิ้นของมันยาวและแหลมดุจเรียวดาบ ลิ้นสีเขียวสะท้อนประกายโลหะออกมาจากคอหอยสีแดงจัดและเจ้าสัตว์ตัวนี้มีตาโตเพียงข้างเดียว ตามันเป็นทับทิมนะ


มันคือสัตว์ประหลาดไงล่ะ
ฉันเคยเห็นมันไหมน่ะหรือ ไม่เคยแน่ พระเจ้าทารงปกป้องพิทักษ์ฉันไม่ให้พานพบเจ้างูตัวนี้ แต่ตอนเด็กฉันรู้จักผู้เฒ่าคนหนึ่งซึ่งรู้จักผู้ที่มีอายุมากกว่าเขา และปู่ของคนนี้ก็ได้พบผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งซึ่งเคยเห็นงูบินจริงๆ เหมือนกับที่ฉันเห็นหนูอยู่เวลานี้แหละ


เย็นวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ อากาศดี ในตอนนั้นผู้เฒ่าคนนี้ยังหนุ่มแน่น เขาชื่อบาเบอร์โรต์ เขาอาศัยอยู่กับแม่ซึ่งเป็นหม้ายในไร่ริมแม่น้ำแอ็ง ครอบครัวนี้ไม่ร่ำรวย แต่หนุ่มคนนี้อยากแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐีเจ้าของที่ดินซึ่งอาศัยอยู่ไกล้ๆ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์สำหรับเขา เพราะพ่อของหญิงสาวที่เขารักบอกกับเขาว่า


"ไม่มีเงิน ก็ไม่ได้ลูกสาวข้า"

เย็นนั้นเอง เมื่อกลับจาปักไม้ทำรั้วแล้ว เขาก็เดินทอดน่องแบกค้อนไม้เดินอย่างไม่รีบร้อนพลางนึกถึงคนรักของเขาไปด้วย


เมื่อเดินเลี้ยวตรงหัวมุม เขาก็เข้าไปไกล้แม่น้ำแล้ว เขาเห็นอะไรบางอย่าง แสงสว่างไสวที่ดูเหมือนจะเลื้อยลื่นลงไปในน้ำ เขาจึงหมอบอยู่หลังพุ่มไม้ เบิ่งตาดู แล้วหยิกตัวเองให้แน่ใจว่า...ไม่ได้ฝันไป ไม่ใช่ความฝันหรอก งูบินอยู่ตรงนั้นเอง มันกำลังเลื้อยลงไปในน้ำพร้อมพ่นไฟด้วย มันดำลงไป ผุดขึ้นมาเล่นน้ำ ตีปีกจนเกิดฟองกระจายและกวนน้ำประหนึ่งเกิดลมพายุ บาร์เบอโรต์เฝ้าดูมันอยู่ครู่หนึ่งไม่ต้องสงสัยเลยมันคืองูบิน เขาได้ยินคนเฒ่าคนแก่ร่ำลือถึงมันมามาก จนเขาแน่ใจว่าเขาดูไม่ผิด


แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาตะลึง บนหน้าผากของงูไม่มีอะไรส่องประกายเลย มีคนบอกเขาเสมอว่างูบินจะเอาดวงตาของมันวางไว้บนตลิ่งริมแม่น้ำก่อนจะลงเล่นน้ำ และตาดวงนี้เป็นทับทิมที่มีค่ามหาศาล เขาไม่อยากเชื่อว่าตัวเขา บาร์เบอโรต์ที่น่าสงสารจะมีโชคดีเช่นนี้


บาร์เบอโรต์รู้สึกหวาดๆ เขายังคงจ้องมองอยู่อีกครู่หนึ่งแต่ก็ไม่เห็นอะไรสีแดงตรงหน้าผากสัตว์ประหลาดตัวนี้ เขาจึงค่อยๆคลานไปตามฝั่งแม่น้ำอย่างระแวดระวังเหมือนแมวตัวผู้ที่ตามล่าเหยื่อ เขายังไม่ยอมปล่อยค้อนในมือ และแอบหลบอยู่หลังพงหญ้าเพื่อสำรวจพื้นที่ เงยหน้าขึ้นมองไกลออกไปเพื่อแน่ใจว่าเจ้าสัตว์ประหลาดยังคงเล่นน้ำอยู่ตรงที่มีน้ำมากที่สุด


ในที่สุด เมื่อเขาเอาศรีษะแหวกยอดหญ้าโผล่อออกมาเขาก็พบทับทิมเม็ดนั้น ทับทิมเม็ดใหญ่เกินกว่าที่เขาจะกล้าจินตนาการ เม็ดมันใหญ่เท่ากับศรีษะของเด็กทารกแรกคลอด มันส่งประกายสุกใสจนทำให้ตาเขาพร่า เขาตกตะลึง และจ้องมองดวงไฟดวงใหญ่ที่วางอยู่บนหาดเล็กๆอยู่พักหนึ่ง


บาร์เบอโรต์เป็นเด็กหนุ่มร่างกายแข็งแรง กล้าหาญปราดเปรียว เขาไม่เคยลังเลเมื่อเผชิญหน้าวัวพยศหรือกระทิงหนุ่มเกเร เขานึกถึงพลังและความว่องไวของตัวเอง และราคาค่างวดของทับทิมเม็ดนั้นที่จะช่วยให้การแต่งงานที่ฝันไว้เป็นจริง


แน่นอนเขาจำได้ว่าคนอื่นๆ ก่อนหน้าเขาเคยลองผจญภัยดู และพวกเขาเหล่านั้นก็ถูกงูบินหรือบรรดางูทั้งหลายที่เป็นบริวารของงูบินเขมือบ แต่ตัวบาร์เบอโรต์เองว่องไวกว่าคนอื่นๆ


เมื่อเขาก้าวไปได้สักก้าวหรือสองก้าวก็เห็นงูเห่าตัวใหญ่ขดตัวอยู่ไกล้ๆ ทับทิมเม็ดนั้น มันเพียงแต่สอดสายตาไปรอบๆ เท่านั้นเอง หากงูบินมีวิธีรักษาสมบัติได้เพียงแค่นี้ ก็ไม่น่ามีอะไรที่จะทำให้ผู้ชายอย่างเขากลัวได้เลย

เมื่อบาร์เบอโรต์หันหลังกลับ เจ้าสัตว์ประหลาดก็ว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไปโดยไม่กังวลอะไรเลย ชาวนาผู้นี้คิดว่าตนเองฉลาดเมื่อคิดว่าหากเจ้างูบินไม่มีตา มันคงมองไม่ค่อยเห็นอะไรนัก และคงจะติดตามเขาอย่างลำบากยากเย็น ถ้าเขาฆ่างูเห่าเสีย เขาก็จะวิ่งหนีไปได้


บาร์เบอโรต์ถอดรองเท้าไม้ของเขาออกเพื่อตัวจะได้เบาขึ้น มือเขาจับด้ามค่อนไว้แน่น เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบและเมื่อรู้สึกว่าอยู่ในระยะที่พอเหมาะ เขาจึงหมุนค้อนและตีกระหน่ำอย่างสุดแรงลงบนงูเห่าแรงพอที่จะฆ่าวัวได้ทีเดียว


งูเห่าไม่มีเวลาแม้แต่จะผงกหัวขึ้นมา หนูคงจำได้นะว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิและบรรดางูเห่ายังอ่อนเปลี้ยอยู่


บาร์โบโรต์ทิ้งทั้งค้อนและรองเท้าไม้ เขารีบคว้าทับทิมและตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปยังหมู่บ้าน


แม้งูบินจะมีปีกแต่ขณะนี้บาร์เบอโรต์วิ่งราวกับติดปีกบินเขาไม่เคยวิ่งเร็วได้เท่านี้มาก่อน และไม่เคยกระโดดข้ามรั้วต้นไม้ได้สูงเท่านี้ เพื่อให้คล่องตัว เขาจึงเอาทับทิมใส่ไว้ในเสื้อแนบอก และก็รู้สึกว่าทับทิมเม็ดนั้นเย็นเฉียบพอๆกับก้อนน้ำแข็ง


เขาวิ่งไปได้ครู่หนึ่งจึงเห็นบ้านสองสามหลังตรงปลายทุ่งหญ้า หน้าต่างบ้านมีแสงไฟวอมแวม มีเสียงลมหวีดหวิวมาจากแม่น้ำ เป็นเสียงหวีดหวิวที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ลมร้อนพัดมาปะทะหลังของเขา และเขารู้สึกว่าทับทิมเริ่มอุ่นขึ้น


บาร์เบอโรต์รู้แล้วว่างูบินสะกดรอยตามเขามา เขาเห็นหมู่บ้านอยู่ไกล้ๆเขาพยายามวิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นขณะนั้นทับทิมก็เริ่มร้อนจนเผาแผ่นอกของเขา บรรดางูทั้งหลายเลื้อยออกมาจากรั้วต้นไม้ พุ่มไม้ และดงหญ้า มันเลื้อยกรูออกมาราวกับห่าฝน


บาร์เบอโรต์พยายามกระโดดข้ามงูพวกนั้น แต่เขาถูกงูเห่าตัวหนึ่งกัดส้นเท้าซ้ายขณะที่งูจงอางสีเขียวตัวยาวรัดรอบๆขาขวา เสียงลมหวีดหวิวไกล้เข้ามาและกระแสลมร้อนขึ้นทุกที ส่วนทับทิมก็ดุจก้อนถ่านหินร้อนที่เผาไหม้ผิวหนังของเขา


ขณะนั้นเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารรู้สึกพ่ายแพ้ เขาเปิดเสื้อออกและปล่อยพลอยมีค่าเม็ดนั้นร่วงลงไปในทุ่งหญ้า


เสียงหวีดหวิวจางหายไปในบัดดล สายลมพัดโชยเย็นสบาย และบรรดางูทั้งหลายก็อันตรธานหายไปสิ้น หน้าตาและเนื้อตัวของเขาโชกเหงื่อเมื่อเขาวิ่งมาถึงบ้าน แม่ของเขาตกใจมากรีบไปหาช่างตีเหล็กที่เป็นหมอรักษาโรคด้วย เขาเอากะหล่ำปลีสับผสมใบบาร์ดานและนมที่จับตัวเป็นก้อนโรยด้วยตะไบเหล็ก


ใครก็ไม่อยากเชื่อว่าหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายได้พบงูบิน แต่เขาก็มีบาดแผลให้เห็นวันรุ่งขึ้นตรงบริเวณไกล้ๆรองเท้าไม้และค้อนที่ยังวางอยู่บนตัวงูเห่าที่ถูกทุบตาย ชาวบ้านเห็นร่องรอยที่จะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากเจ้างูบิน


ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะบอกหนูว่าบาร์เบอโรต์ได้เก็ความทรงจำแสนเศร้าจากการผจญภัยครั้งนั้น แต่กระนั้นเมื่อเศรษฐีเพื่อนบ้านรู้ว่าชายหนุ่มยอมเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพื่อลุกสาวของเขา จึงตัดสินใจยกลูกสาวให้หนุ่มบาร์เบอโรต์ แต่เศรษฐีเจ้าของไร่ก็ไม่ผิดหวังเลย เพราะบาร์เบอโรต์เป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแรงและขยันขันแข็ง เขรูจักพลิกแผ่นดินของพ่อตาให้เป็นทรัพย์ ที่จริงเขาเสียสติก็ตอนที่เขาเห็นทับทิมเท่านั้น แต่ก็ฉลาดกว่าคนอื่นที่ปล่อยพลอยเม็ดนั้นทิ้งไป ก่อนจะถูกงูบินเขมือบ


ถ้าวันใดพวกหนูพบงูบิน ฉันของแนะนำให้เดินผ่านไปโดยไม่มองทับทิม หากมีความละโมบเช่นนั้น เราจะไม่ได้อะไรหรอกสู้อยู่อย่างสงบ ดีกว่าผจญภัยที่ต้องเสี่ยงเอาชีวิตไปทิ้ง